Keyrock บริษัทผู้ดูแลสภาพคล่องในตลาดคริปโต ได้เผยแพร่รายงานวิจัยฉบับใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ โดยคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin อาจพุ่งทะยานสู่ระดับ $160,000 ภายในสิ้นปี 2025 อย่างไรก็ตาม เป้าหมายราคานี้ไม่ได้มาแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของโครงสร้างเงินทุนของกลุ่มบริษัทที่เรียกว่า “Bitcoin Treasury Companies” (BTC-TCs) ซึ่งนำโดย Strategy (ชื่อเดิม MicroStrategy) ของ Michael Saylor การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าอนาคตระยะสั้นของ Bitcoin อาจผูกติดอยู่กับกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทเหล่านี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจในศักยภาพของ Bitcoin จากการคาดการณ์เหล่านี้ การทำความเข้าใจพื้นฐานการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ซึ่งสามารถเรียนรู้ วิธีเล่นบิทคอยน์สำหรับมือใหม่ เพื่อเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ
เจาะลึกบทบาทของบริษัทคลัง Bitcoin (BTC-TCs) ต่อตลาด
รายงานจาก Ben Harvey และ Will Clemente III ที่จัดทำขึ้นสำหรับ Keyrock ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัทคลัง Bitcoin หรือ BTC-TCs ได้สะสม Bitcoin ไปแล้วกว่า 725,000 BTC ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 3.64% ของอุปทาน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ ผู้นำในกลุ่มนี้คือ Strategy ที่ถือครอง Bitcoin มากถึง 597,000 BTC แต่ยังมีผู้เล่นรายอื่น ๆ อีกกว่าสิบราย เช่น Marathon Digital และ Metaplanet ที่กำลังดำเนินรอยตามกลยุทธ์เดียวกัน
การถือครอง Bitcoin ในปริมาณมหาศาลของบริษัทเหล่านี้ทำให้พวกเขามีอิทธิพลต่อตลาดอย่างมาก การตัดสินใจซื้อหรือขาย Bitcoin ของบริษัทเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อราคาและความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวมได้ ปริมาณการถือครองรวมของกลุ่ม BTC-TCs ในปัจจุบันนั้นมีมากกว่ากองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ถึง 50% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังในการขับเคลื่อนตลาด Bitcoin ที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย
เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการจัดเก็บสินทรัพย์อย่างรัดกุม นักลงทุนรายย่อยเองก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการถือครองเหรียญ การเลือกใช้ กระเป๋า Bitcoin wallet ที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย จึงเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ขาดไม่ได้
กลไก “Flywheel” และความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ของ Bitcoin
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้คือสิ่งที่เรียกว่า “Flywheel Effect” หรือวงจรปั่นราคาเชิงบวก บริษัทเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากการที่ราคาหุ้นของตนเองซื้อขายในระดับพรีเมียม (Premium) เมื่อเทียบกับมูลค่า Bitcoin ที่ถือครองอยู่จริง (Net Asset Value – NAV) โดยเฉลี่ยแล้ว หุ้นของ BTC-TCs มีราคาสูงกว่ามูลค่า Bitcoin ที่บริษัทถืออยู่ถึง 73% ส่วนต่างราคานี้เปิดโอกาสให้บริษัทสามารถออกหุ้นใหม่เพื่อระดมทุน แล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อ Bitcoin เพิ่ม ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้ความเชื่อมั่นและราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีก เป็นวงจรที่ส่งเสริมกันไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม กลไกนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม รายงานเตือนว่าโครงสร้างนี้พึ่งพิงความเชื่อมั่นของตลาดทุนเป็นอย่างมาก หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ราคาหุ้นอาจร่วงลงต่ำกว่ามูลค่า NAV ทำให้การออกหุ้นใหม่เพื่อซื้อ Bitcoin เพิ่มกลายเป็นการลดทอนมูลค่า (Dilutive) แทนที่จะเป็นการเพิ่มมูลค่า (Accretive) นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการคือภาระหนี้สินมูลค่ากว่า 33.7 พันล้านดอลลาร์ที่บริษัทเหล่านี้ก่อขึ้นเพื่อนำมาซื้อ Bitcoin โดยเฉพาะหุ้นกู้แปลงสภาพที่จะครบกำหนดชำระในช่วงปี 2027-2028 หากราคา Bitcoin ปรับตัวลงอย่างรุนแรง อาจทำให้บริษัทเหล่านี้เผชิญกับความยากลำบากในการชำระหนี้ และอาจถูกบีบให้ต้องขาย Bitcoin ที่ถืออยู่ออกมาในที่สุด
สถานการณ์จำลอง: ราคา Bitcoin จะไปจบที่ตรงไหน?
Keyrock ได้จำลองสถานการณ์ที่เป็นไปได้สำหรับราคา Bitcoin ออกเป็น 3 กรณี เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพอนาคตที่แตกต่างกันออกไป
- กรณีที่ดีที่สุด (Bull Case) ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 30% คือสภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง และความต้องการจากนักลงทุนสถาบันเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันให้ราคา Bitcoin พุ่งทะลุ $160,000 ภายในสิ้นปี 2025 สถานการณ์นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ากลไก Flywheel ของ BTC-TCs ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์
- กรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด (Base Case) คือราคา Bitcoin จะไปจบที่ประมาณ $135,000 ภายในสิ้นปี 2025 โดยระดับพรีเมียมของหุ้น BTC-TCs จะลดลงมาอยู่ในช่วง 30-60% ในสถานการณ์นี้ การลงทุนในหุ้นของบริษัทเหล่านี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการถือ Bitcoin โดยตรง แต่ความน่าสนใจของการใช้เลเวอเรจจะลดน้อยลง
- กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Bear Case) แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่ก็มีความเป็นไปได้ คือราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง 20% ประกอบกับการมีบริษัทคลังเกิดขึ้นใหม่จำนวนมากจนทำให้อุปทานล้นตลาด ในสถานการณ์นี้ พรีเมียมจะหายไปจนหมด บริษัทจะประสบปัญหาในการรีไฟแนนซ์หนี้ และอาจต้องเทขาย Bitcoin ที่ถือครองออกมา ซึ่งจะทำลายโมเดลการลงทุนทั้งหมดของ BTC-TCs
Bitcoin Hyper ($HYPER): ปลดล็อกศักยภาพใหม่ของ Bitcoin ด้วย Layer-2
ในขณะที่ราคา Bitcoin กำลังพุ่งอย่างรุนแรง นักลงทุนจำนวนมากก็เริ่มมองหาโอกาสการเติบโตโดยตรงจากนวัตกรรมบนเครือข่าย Bitcoin เอง และหนึ่งในโปรเจกต์ที่กำลังมาแรงคือ Bitcoin Hyper ($HYPER) ซึ่งเป็น Layer-2 ที่สร้างบนเทคโนโลยี Solana Virtual Machine (SVM) โดยมีเป้าหมายเพื่อปลดล็อกให้ Bitcoin เป็นมากกว่าสินทรัพย์เก็บมูลค่า แต่กลายเป็นเครือข่ายความเร็วสูงที่ใช้งานได้จริงในโลก DeFi และ dApps
สำหรับผู้ที่สนใจในโปรเจกต์นี้และต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อประกอบการตัดสินใจ สามารถอ่าน รีวิว Bitcoin Hyper โปรเจกต์ BTC Layer-2 เพื่อทำความเข้าใจถึงศักยภาพและความเสี่ยงต่างๆ ได้
Bitcoin Hyper แก้ปัญหาความช้าและค่าธรรมเนียมที่สูงของ Bitcoin ดั้งเดิม ด้วยความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมหลายหมื่นรายการต่อวินาทีและค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ บน Bitcoin ได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Meme Coin Factory, ระบบ DeFi, หรือแม้กระทั่ง GameFi โดยทั้งหมดนี้ยังคงความปลอดภัยจากการยืนยันธุรกรรมบน Layer-1 ของ Bitcoin ผ่านเทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof (ZKP)
โอกาสที่ไม่ควรมองข้ามคือรอบพรีเซลของ $HYPER ที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีรอบพิเศษสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้เป็นโอกาสสำหรับรายย่อยที่จะได้เข้าร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยยอดขายที่ทะลุ 2.38 ล้านดอลลาร์ในเวลาไม่กี่วัน แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ล้นหลาม หากนวัตกรรม Layer-2 บน Bitcoin เติบโตได้จริง $HYPER อาจเป็นหนึ่งในเหรียญที่มีศักยภาพสูงในตลาดกระทิงรอบถัดไป
นักลงทุนที่มองเห็นโอกาสและต้องการเข้าร่วมในรอบพรีเซล สามารถศึกษา วิธีซื้อ Bitcoin Hyper ($HYPER) ง่ายๆ เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ