เป็นที่รู้กันว่าการเก็บสกุลเงินดิจิทัลของคุณให้ปลอดภัยที่สุด คือการใช้ Hardware Wallet ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เก็บ Private Keys หรือกุญแจที่ใช้ในการเข้าถึงวอลเล็ตของคุณแบบออฟไลน์ (หรือที่เรียกกันว่า Cold Wallet) ซึ่งจะปลอดภัยกว่า Hot Wallet ที่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ในบทความนี้ เราจะอธิบายว่า hardware wallet คืออะไร การทำงานเป็นอย่างไร แล้วแนะนำว่า hardware wallet ตัวไหนดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ซึ่ง Hardware Wallet เป็นวิธีที่มอบความปลอดภัยระดับสูงสุดสำหรับการจัดเก็บคริปโต โดยผสมผสานความปลอดภัยแบบ Paper Wallet เข้ากับอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย
Hardware Wallet
Hardware Wallet ใช้ระบบการยืนยันตัวตนแบบ Two-Factor Authentication หรือ 2FA ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องพิสูจน์ตัวตนผ่านรหัส PIN และตัววอลเล็ตไปพร้อมๆ กันเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
ดังนั้นถ้าถามว่า hardware wallet จำเป็นไหม ตอบได้ว่าจำเป็น เพราะหากคุณต้องการเก็บ Bitcoin และคริปโตของคุณอย่างปลอดภัย อุปกรณ์ดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกในรูปแบบต่างๆ และบางคนยังเลือกที่จะมีกระเป๋าเงินหลายใบเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์เดียว
Hardware Wallet ยอดนิยมในตลาด ได้แก่:
Cypherock | Ellipal | Ledger | Trezor |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ราคา: €134.10 | ราคา: $79 | ราคา: $79 / $149 | ราคา: $69 / $79 / $219 |
คะแนนรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐ | คะแนนรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐ | คะแนนรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐ | คะแนนรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐ |
Bitcoin Wallet คืออะไร?
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า “Bitcoin Wallet” คือกระเป๋าเงินที่เอาไว้เก็บ Bitcoin แต่จริงๆ แล้วมันคือซอฟต์แวร์ที่เก็บรหัสผ่าน หรือที่เรียกในเชิงเข้ารหัสว่า “คีย์” ซึ่งคีย์เหล่านี้ช่วยให้กระเป๋าเงินสามารถเข้าถึง Bitcoin ที่จัดเก็บไว้ในบัญชีแยกประเภทของธุรกรรมที่เรียกว่า Blockchain
เมื่อคุณใช้ Bitcoin Wallet คุณจะต้องทำความเข้าใจกับสองอย่างนี้
1. Bitcoin Address (Public Key):
Bitcoin Address หรือ Public Key ทำหน้าที่คล้ายกับอีเมล์ โดยเราจะแชร์ Bitcoin Address ให้กับผู้ที่ต้องการส่ง Bitcoin ให้คุณ
2. Private Key:
Private Key คือรหัสผ่านเพื่อเข้าถึง Bitcoin และคริปโตอื่นๆ ของคุณ ทำหน้าที่คล้ายกับรหัสผ่านที่ใช้เข้าสู่อีเมลนั่นเอง
กระเป๋าเงินยังสามารถใช้ลายเซ็นดิจิทัลของคุณเพื่อทำธุรกรรม Bitcoin ในนามของคุณโดยใช้ Private Key และส่งธุรกรรมเหล่านั้นสู่เครือข่ายเพื่อยืนยันความถูกต้อง
ในกระบวนการนี้ Hardware Wallet ของคุณจะรับคำขอทำธุรกรรมของคุณ จากนั้นจะลงนามธุรกรรมดังกล่าวโดยใช้ Private Key ของคุณ และสร้างลายเซ็นดิจิทัล (digital signature) ขึ้นมา ก่อนจะส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่าย
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการส่ง Bitcoin ให้ผู้อื่น คุณต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นต่อเครือข่ายก่อน โดยกระเป๋าเงินของคุณจะลงนามธุรกรรมโดยใช้ Private Key และส่งลายเซ็นดิจิทัลไปยังเครือข่าย โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเปิดเผย Private Key ออกมา
สุดท้ายเมื่อกระบวนการตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์ Bitcoin miners ก็จะนำธุรกรรมนั้นเข้าสู่ระบบ blockchain ซึ่งถือเป็นการทำธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์
Hardware Wallet คืออะไร สิ่งที่คุณต้องรู้
การป้องกันข้อมูลส่วนตัวในโลกดิจิทัลยุคนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการรักษาความปลอดภัยของ Cryptocurrency เพราะหากคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้กับ Hardware Wallet ถูกมัลแวร์โจมตี แฮกเกอร์ก็อาจจะเข้าถึงข้อมูลสำคัญอย่าง Private Key ได้
เพื่อป้องกันการถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูล เราขอแนะนำดังนี้
- ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณปลอดมัลแวร์อย่างสมบูรณ์ แม้จะฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วไวรัสบางตัวอาจถูกออกแบบมาให้คล้ายกับซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมาย หรืออาจจะสามารถซ่อนตัวจากซอฟต์แวร์แอนติไวรัสและหลบเลี่ยงการตรวจจับได้
- ใช้กระเป๋าเงินที่สามารถป้องกันมัลแวร์ได้ ซึ่งนี่คือไอเดียหลักที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ Hardware Wallets
โดยสรุปแล้ว Hardware Wallet คือ Crypto Wallet ที่มาในรูปแบบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ซึ่งถูกตัดความซับซ้อนออกไปจนเหลือแค่หน้าจอขนาดเล็ก มีปุ่มไม่กี่ปุ่ม และฟังก์ชันพื้นฐานในการเก็บรักษา Private Key และยังสามารถเซ็นธุรกรรมได้ลักษณะของกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์มักจะคล้ายกับอุปกรณ์ USB ขนาดเล็ก ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความปลอดภัยโดยใช้แนวคิดที่ว่า ยิ่งอุปกรณ์มีความซับซ้อนน้อยเท่าไร โอกาสที่แฮกเกอร์จะเจาะระบบได้ก็ลดลงเท่านั้นนอกจากนี้ Hardware Wallet ยังไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมักไม่มีการส่งหรือรับข้อมูลผ่าน wifi, NFC, Bluetooth หรือแม้กระทั่ง mobile data ซึ่งจะช่วยลดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์อาจใช้เจาะข้อมูลได้
ด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายของ Hardware Wallet ทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือรันแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนได้ อุปกรณ์ประเภทนี้จึงเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการเก็บรักษา Private Key แบบออฟไลน์ หรือในรูปแบบ cold wallet นั่นเอง
วิธีการนี้เรียกกันว่า cold storage ซึ่งแตกต่างจากอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หรือที่เรียกว่า “hot wallet” โดยทั่วไปแล้ว cold storage wallet มักถูกมองว่ามีความปลอดภัยสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าถึงได้ยากกว่าด้วย ต่างจาก hot wallet ที่ให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การเข้าถึงแอปพลิเคชัน DeFi ได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ cold wallet จึงถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการจัดเก็บคริปโต และเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บสินทรัพย์ระยะยาว
Hardware Wallets ทำงานอย่างไร
หากคุณต้องการส่งคริปโตผ่านอุปกรณ์วอลเล็ต สิ่งแรกที่คุณควรรู้คือ Hardware Wallet เป็นอุปกรณ์ที่มีความเรียบง่าย มีหน้าที่เพียงเซ็นธุรกรรมเท่านั้น แต่การเตรียมธุรกรรมและการส่งออกไปยังเครือข่ายจำเป็นต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันที่ซับซ้อนกว่า
ดังนั้น หากคุณต้องการใช้งาน Hardware Wallet คุณจะต้องเชื่อมต่อวอลเล็ตกับคอมพิวเตอร์ของคุณ และดาวน์โหลดโปรแกรมที่สามารถทำงานร่วมกับมันได้ นั่นคือโปรแกรม “Bridge” โดย Bridge จะช่วยให้คุณเตรียมข้อมูลธุรกรรมเพื่อส่งไปให้ Hardware Wallet เซ็น
Hardware Wallet อนุญาตให้ส่งข้อมูลบางประเภทเท่านั้น เช่น ธุรกรรม Cryptocurrency โดยเมื่อธุรกรรมจากโปรแกรม Bridge ถูกส่งมาที่ Hardware Wallet ตัว Hardware Wallet จะทำการเซ็นข้อมูล แล้วส่งข้อมูลที่เซ็นเสร็จแล้วกลับไปยังโปรแกรม Bridge โดยที่ Private Key ของคุณจะไม่ถูกแชร์ไปที่คอมพิวเตอร์ ดังนั้น คุณสามารถใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้
เพื่อให้การทำธุรกรรมของคุณปลอดภัย หมั่นตรวจเช็คว่าธุรกรรมที่คุณอนุมัติบนหน้าจอของ Hardware Wallet จะต้องตรงกับธุรกรรมที่ปรากฏในโปรแกรม Bridge บนคอมพิวเตอร์เสมอ
Private Key คืออะไร
Private key คือรหัสผ่านที่มีลักษณะเป็นตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึง crypto wallet ของคุณ เพื่อให้คุณสามารถส่งเงินดิจิทัลให้ผู้อื่น และสร้าง crypto address ของคุณเพื่อให้ผู้อื่นสามารถส่งสินทรัพย์ดิจิทัลมาให้คุณได้
กระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนใหญ่จะจัดการ Private Key โดยใช้ระบบเข้ารหัสที่ซับซ้อนแบบอัตโนมัติ ซึ่งหนึ่งในกระเป๋าเงินดิจิทัลอย่างกระเป๋าประเภท HD (hierarchical deterministic) ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นโดยการสร้าง Seed Phrase หรือชุดคำที่สามารถใช้กู้คืน Private Key ได้ในกรณีที่คุณลืมรหัสหรือทำอุปกรณ์หาย นอกจากนี้ HD wallet ยังสามารถสร้าง Bitcoin Address หลายๆ ที่จาก seed เดียวกันได้ด้วย
เนื่องจาก Private Key และ Seed Phrase ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณ การเก็บรักษามันให้ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ กระเป๋าเงินแบบมาตรฐานมักเก็บ Private Key ไว้ในไฟล์ wallet.dat ซึ่งควรทำสำเนาสำรองไว้ในที่ปลอดภัย ส่วน HD wallet จะมอบ Seed Phrase ที่ยาวสูงสุด 24 คำ ซึ่งควรจดบันทึกและเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย
Seed Phrase สำคัญมาก
การตั้งค่า Hardware Wallet ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือตอนเริ่มต้นใช้งานครั้งแรก คุณต้องจดจำชุดคำที่อุปกรณ์จะมอบให้คุณเมื่อเริ่มต้นใช้งาน ชุดคำนี้เรียกว่า Seed Phrase หรือ mnemonic phrase ซึ่งสามารถใช้กู้คืน Private Key ที่ Hardware Wallet สร้างขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากมีคนทราบ Seed Phrase ของคุณ เขาก็จะสามารถควบคุม Bitcoin และ cryptocurrencies อื่นๆ ของคุณได้เช่นกัน ดังนั้นการเก็บ Seed Phrase ของคุณแบบออฟไลน์และเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น
Multisig Wallets คืออะไร
กระเป๋าเงินดิจิทัลบางประเภทมีคุณสมบัติที่เรียกว่า Multisig
Multisig ย่อมาจาก multisignature ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สามารถส่ง Bitcoin ได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจาก Private Key ที่มากกว่า 1 ชุด โดยขึ้นอยู่กับจำนวนที่กำหนดว่าต้องมีขั้นต่ำกี่ชุดจึงจะเข้าทำธุรกรรมได้ เช่น กลุ่มคน 3 คน มี Private Keys คนละชุด กำหนดว่าต้องใช้อย่างน้อย 2 ใน 3 ชุดถึงจะเข้าทำธุรกรรมได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ Multisig ยังนิยมใช้ในบริการ escrow ที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันว่าจะทำธุรกรรมด้วยการใช้กุญแจ 2 ใน 3 กรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถตกลงกันได้ บุคคลที่สามที่ได้รับความไว้วางใจก็จะเป็นผู้ตัดสินใจและปล่อยเงินออกมาแทน
Hardware Wallet ที่ดีที่สุดคืออะไร
ในปัจจุบันมีบริษัทมากกว่าสิบแห่งที่ผลิตฮาร์ดแวร์สำหรับเก็บคริปโต โดยแบรนด์ที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาด ได้แก่ Ellipal, Ledger, TREZOR และ KeepKey ซึ่งแต่ละแบรนด์มีรุ่นและคุณสมบัติที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน เราจะมาดูรายละเอียดของ Hardware Wallet ยอดนิยมเหล่านี้โดยไม่มีการจัดอันดับ รวมถึงแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเก็บคริปโตแบบออฟไลน์และการเก็บแบบ Cold Storage ที่น่าสนใจที่สุดในปัจจุบัน
Crypto Wallet แบบออฟไลน์ที่ดีที่สุดคืออะไร
สำหรับผู้เริ่มต้นที่กำลังมองหาวิธีเก็บคริปโตแบบ Cold ที่ปลอดภัยที่สุด เราขอแนะนำให้เลือกใช้ Hardware Wallet Crypto ที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เช่น Ellipal, Ledger หรือ Trezor ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก
แต่สำหรับผู้ใช้งานที่มีความเชี่ยวชาญและต้องการความเรียบง่ายในการเก็บหรือมีแผนที่จะลงทุนในระยะยาว การเลือกใช้กระเป๋ากระดาษ (Paper Wallet) อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและลักษณะการลงทุนของแต่ละบุคคล ไปดูกันว่า Hardware Wallet ตัวไหนดี
1. Cypherock Hardware Wallet
Cypherock คือบริษัทสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 ได้ระดมทุนจำนวน $1 ล้านเพื่อพัฒนา Cypherock X1 Hardware Wallet ที่ใช้เทคโนโลยี Shamir Secret Sharing เพื่อเก็บกุญแจคริปโตแบบ decentralized คือแทนที่กุญแจจะถูกเก็บในที่เดียว Cypherock จะแยกเก็บเป็น 5 บริเวณในระบบ แม้ว่านี่จะเป็น Cold Wallet เพียงรุ่นเดียวที่บริษัทนำเสนอ แต่ก็อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง และการจัดการสินทรัพย์คริปโตที่ใช้งานง่าย
Cypherock X1 ประกอบด้วยสองส่วนหลัก: X1 Vault และ X1 Cards
- X1 Vault อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ชิปคู่ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับจัดการทรัพย์สินคริปโตและทำธุรกรรม ทำงานแบบออฟไลน์และมีหน้าจอ OLED ขนาด 0.96 นิ้ว พร้อมพอร์ต USBC ไว้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
- X1 Cards คือสมาร์ทการ์ดที่ใช้ NFC พร้อมชิป EAL6+ Secure Element เพื่อเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย รองรับการใช้งานมากกว่า 500,000 ครั้ง และมีอายุการใช้งานกว่า 20 ปี
ราคาของ Cypherock X1 อยู่ที่ $159 ซึ่งมาพร้อม X1 Vault, X1 Cards จำนวน 4 ใบ และกล่องเก็บ โดยสามารถซื้อแต่ละชิ้นแยกได้ และเนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 9,000 รายการ
ซึ่งถ้าถามว่า hardware wallet เก็บเหรียญอะไรได้บ้าง ต้องตอบว่าจุดแข็งของ Cypherock X1 คือการรองรับ Bitcoin, Ethereum, BNB Smart Chain และอีกมากมาย จนได้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนคริปโตทุกระดับ
ข้อดี:
- ไม่มีความเสี่ยงจากการสำรอง Seed Phrase ด้วยระบบ Shamir Secret Sharing สุดล้ำ
- รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 9,000 รายการ
- เก็บบัญชีกระเป๋าเงินได้ 4 บัญชีในเครื่องเดียว
- ใช้ชิป EAL6+ Secure Element
ข้อเสีย:
- แอปพลิเคชันมือถือยังอยู่ในขั้นพัฒนา
- แอปเสริมยังมีฟีเจอร์จำกัด
2. Ellipal Hardware Wallets
Ellipal ก่อตั้งโดย David Tian และ Tong Chen ในปี 2018 มุ่งเน้นการสร้าง hardware wallet crypto แบบ self-custodial ที่เน้นความปลอดภัยและความสะดวกสบาย อุปกรณ์ทำจากวัสดุโลหะและออกแบบให้เป็นระบบ Air-gapped ซึ่งไม่มีการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth, WiFi, USB หรือ NFC แต่การสื่อสารทั้งหมดจะทำผ่าน QR Code ผ่านกล้องหลังของอุปกรณ์
Ellipal Titan 2.0 Cold Wallet มีราคาที่ $169 ในขณะที่รุ่น Titan Mini Cold Wallet อยู่ที่ $99 ทั้งสองรุ่นได้รับการรับรอง EAL5+ และมีฟีเจอร์ป้องกันการงัดแงะและการถอดประกอบ พร้อมระบบทำลายตัวเองหากตรวจพบการแทรกแซง
Ellipal รองรับสินทรัพย์มากกว่า 10,000 รายการ รวมถึง Bitcoin, Ethereum, Solana และยังรองรับ NFT บน Ethereum และ Polygon โดยสามารถเชื่อมต่อกับตลาด NFT กว่า 50 แห่งได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังเข้าถึง DApps และแพลตฟอร์ม DeFi ได้สะดวกอีกด้วย
ข้อดี:
- ใช้ระบบ Air-gapped
- รองรับโทเค็นและ NFT มากกว่า 10,000 รายการ
- มีแอปมือถือ
- หน้าจอขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย
- ระบบป้องกันการแทรกแซง
ข้อเสีย:
- ไม่มีแอปสำหรับเดสก์ท็อป
- การบริการลูกค้ายังจำกัด
3. Ledger Hardware Wallets
Ledger ถือเป็นหนึ่งในผู้นำแห่งวงการ Hardware Wallet โดยมีประสบการณ์มายาวนานเช่นเดียวกับ Trezor แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท เช่น การเปิดตัวฟีเจอร์ Ledger Recover ที่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ใช้งาน หรือการละเมิดข้อมูล (data breach) รวมถึงปัญหา Ledger Connect exploit ที่แม้จะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว แต่ชื่อเสียงของ Ledger ก็ยังได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการใช้งานจริง อุปกรณ์ของ Ledger ยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในตลาด Hardware Wallet ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร
การเข้าถึงกระเป๋าเงิน Ledger สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน Ledger Live ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ฟรีที่ใช้งานบนเดสก์ท็อป โดยแอปนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการกระเป๋าเงิน Ledger ทั้งหมด ส่งและรับ cryptocurrencies รวมถึงตรวจสอบยอดเงินของคุณได้ตลอดเวลา
ข้อดี:
- รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลหลายพันรายการ
- เชื่อมต่อกับ DApps ได้
- รองรับการใช้งานกับมือถือ (เฉพาะรุ่น Nano X)
ข้อเสีย:
- อินเทอร์เฟซของ Bluetooth อาจใช้งานยาก (เฉพาะรุ่น Nano X)
- เคยเผชิญปัญหาด้านความปลอดภัยมาก่อน
Ledger Nano X
Ledger Nano X เป็นผลิตภัณฑ์หลักของ Ledger ในกลุ่ม Hardware Wallet ความโดดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการจัดการแอปพลิเคชันคริปโตได้สูงสุดถึง 100 แอปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม บางคนให้ความเห็นว่าการใช้งานผ่าน Bluetooth ของ Nano X ยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับปรุงในอนาคตผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์
ราคาของ Ledger Nano X อยู่ที่ $149 (ไม่รวม VAT) และรวมค่าจัดส่งฟรี
Ledger Nano S Plus
Ledger Nano S Plus เป็นเวอร์ชันที่ได้รับการปรับปรุงจาก Nano S รุ่นดั้งเดิม ซึ่งมาพร้อมดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวขึ้น หน้าจอที่ใหญ่กว่า และหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถจัดเก็บแอปพลิเคชันสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู ขอบโค้งมน Nano S Plus นำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลกว่าเดิม โดยยังคงคุ้มค่าในราคาที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับรุ่น Nano X
คำแนะนำเพิ่มเติม: หากคุณต้องการกระเป๋าเงินที่ราคาถูกกว่า Ledger Nano X ประมาณครึ่งหนึ่ง Nano S Plus ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเท่ากัน แต่ไม่ต้องการฟีเจอร์ Bluetooth ของ Nano X ที่หลายคนอาจมองว่าไม่ได้จำเป็น
Ledger Nano S Plus มีราคาที่ $79 ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มองหาคุณภาพในราคาที่จับต้องได้
4. TREZOR Hardware Wallets
TREZOR เป็นบริษัทแรกที่คิดค้นแนวคิด Hardware Wallet โดยข้อได้เปรียบที่สำคัญของ TREZOR เมื่อเทียบกับคู่แข่งคือ ชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือ โดยผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอย่าง Marek “Slush” Palatinus ยังเป็นผู้สร้าง Bitcoin mining pool แห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 2010 ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของกระเป๋า TREZOR คือ การอัปเกรดเฟิร์มแวร์มักลบข้อมูลในวอลเล็ตทั้งหมด อย่างไรก็ดี หากทำการ backup Seed Phrase ไว้ คุณก็จะสามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
TREZOR ได้เปิดตัว Hardware Wallet รุ่นใหม่อย่าง Trezor Safe 3 และ Trezor Safe 5 ซึ่งมีหน้าจอสัมผัส โดยทั้งสองรุ่นได้รับการพัฒนามาจาก Trezor Model One และ Model T ที่เป็นที่ยอมรับในตลาดมานาน พร้อมการอัปเกรดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
Trezor Safe 3 มีขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย และรองรับสินทรัพย์หลักเกือบทุกชนิด รวมถึงโทเค็นที่อยู่บนเครือข่าย Ethereum
การอัปเกรดที่โดดเด่นที่สุดคือการเพิ่ม Secure Element Certified Chip EAL6+ ซึ่งเป็นอุปกรณ์แรกที่ TREZOR เอาชิปนี้มาใช้
ส่วน Trezor Safe 5 มีฟีเจอร์ที่คล้ายกัน แต่เพิ่มหน้าจอสัมผัสเพื่อให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น
กระเป๋ารุ่น Safe ยังรองรับระบบ Shamir Backup สำหรับการกู้คืน Seed Phrase ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีใน Trezor Model T แต่ไม่ได้มีใน Model One
ราคาของ Trezor Safe 3 อยู่ที่ $79 หากซื้อจากเว็บไซต์ของ TREZOR โดยตรง ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณภาพ และยังมีราคาเท่ากับ Trezor Model One รุ่นก่อนหน้าอีกด้วย
เคล็ดลับการซื้อ: หากคุณต้องการประหยัดงบ Safe 3 ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด ถ้าคุณไม่ได้ต้องการหน้าจอสัมผัส
ข้อดี:
- เป็นผู้บุกเบิกในตลาด
- ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
- ชื่อเสียงบริษัทน่าเชื่อถือ
- ระบบรักษาความปลอดภัยระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม
- รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 8,000 ชนิด
ข้อเสีย:
- มีปัญหาการรีเซ็ตบ่อยครั้งเมื่ออัปเกรดเฟิร์มแวร์ (ทำให้ต้องหมั่นสำรอง recovery phrase)
- การรองรับสินทรัพย์บางชนิดยังไม่ครอบคลุมเท่าคู่แข่ง
- การเข้าถึง DeFi/DApps ออนไลน์ยังมีข้อจำกัด
Trezor Model T
Trezor Model T เป็น Hardware Wallet ที่พัฒนาจาก Trezor Model One โดยมีความแตกต่างหลักคือ “หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่” แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีฟีเจอร์พื้นฐานเดียวกัน แต่หน้าจอสัมผัสของ Model T ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอย่างมาก
เมื่อคุณต้องกู้คืนหรือเริ่มตั้งค่ากระเป๋าใหม่ คุณมักต้องป้อน Seed Phrase หากฮาร์ดแวร์ของคุณไม่มีอินเทอร์เฟซที่เหมาะสมอย่างหน้าจอสัมผัส คุณอาจต้องพิมพ์ Seed Phrase บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูก keylogger หรือมัลแวร์โจมตี (อย่างไรก็ตาม แม้แฮกเกอร์จะได้ Seed Phrase ของคุณไป พวกเขาก็ยังไม่สามารถจัดเรียงลำดับคำได้ เนื่องจากลำดับคำจะปรากฏเฉพาะบนฮาร์ดแวร์เท่านั้น)
ด้วย Trezor Model T ปัญหานี้จะหมดไป เพราะการใช้งานทั้งหมดจะทำผ่านหน้าจอสัมผัสบนฮาร์ดแวร์ ซึ่งออกแบบมาให้ปลอดภัยจากมัลแวร์โดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ Model T ยังรองรับเหรียญที่ Model One ไม่สามารถรองรับได้ เช่น XRP, ADA และ XMR
ราคาของ Trezor Model T อยู่ที่ $219 (ไม่รวม VAT)
Trezor Model One
Trezor Model One เป็น Hardware Wallet รุ่นแรกในตลาด และยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเก็บรักษา crypto ด้วยต้นทุนต่ำ กระเป๋ารุ่นนี้ (ซึ่งเดิมชื่อแค่ “TREZOR”) ไม่เพียงแค่เป็นฮาร์ดแวร์ที่เก่าแก่ที่สุดในตลาด แต่ยังได้รับการยอมรับสูงสุดในแง่ของความน่าเชื่อถืออีกด้วย
นอกจากดีไซน์ที่เรียบง่ายและอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่ายแล้ว Trezor Model One ยังรองรับสกุลเงินดิจิทัลหลากหลาย เช่น Bitcoin, Bitcoin Cash, Tether (USDT), Ethereum, Ethereum Classic, Litecoin, Dogecoin และ Polygon อย่างไรก็ตาม สกุลเงินที่ได้รับความนิยมบางตัวอย่าง XRP และ ADA ไม่สามารถใช้งานร่วมกับรุ่นนี้ได้
ราคาของ Trezor Model One อยู่ที่ $69 ถือว่าเป็นฮาร์ดแวร์วอลเล็ตที่ราคาย่อมเยาและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
5. Tangem Wallet
Tangem เป็น Hardware Wallet Crypto ที่เน้นความปลอดภัยสูงสุด มอบความเป็นอิสระในการจัดการสินทรัพย์คริปโตหลายพันรายการอย่างสมบูรณ์แบบ กระเป๋าเงิน Tangem มาในรูปแบบบัตรที่บางเฉียบและมีดีไซน์โฉบเฉี่ยวคล้ายบัตรธนาคาร แต่มีความปลอดภัยสูง
การทำธุรกรรมนั้นง่ายดาย เพียงแตะ wallet card ของ Tangem บนอุปกรณ์มือถือที่รองรับ บัตรนี้มีชิป EAL 6+ ฝังอยู่ภายใน ซึ่งสามารถสร้าง Private Key ได้โดยอัตโนมัติ และข้อมูลนี้จะไม่ถูกเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด
จุดเด่นอีกอย่างคือระบบป้องกัน 2 ชั้นที่ผสานการยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์และการตั้งรหัสผ่าน นอกจากนี้ ตัวบัตรยังถูกออกแบบมาให้ทนต่ออุณหภูมิร้อนหรือเย็นจัด
Tangem wallet ทำงานร่วมกับแอป Tangem ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน และ stake สินทรัพย์ดิจิทัลได้สะดวกอย่างยิ่ง แอปนี้ยังมีการแสดงข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชาญฉลาด
Tangem มีให้เลือกสองชุดคือ ชุดการ์ด 2 ใบ ราคา $54.90 และชุดการ์ด 3 ใบ ราคา $69.90
ข้อดี:
- ชิปประมวลผลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน EAL 6+
- ระบบรักษาความปลอดภัยสองชั้น
- รองรับการทำธุรกรรมแบบ swapping
- รองรับการ staking
ข้อเสีย:
- ไม่รองรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป
- ไม่รองรับ NFT
Hardware Wallets อื่นๆ ที่น่าสนใจในตลาด
-
NGRAVE
NGRAVE เป็น Hardware Wallet ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูงสุด โดยใช้ระบบ air-gapped 100% ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์จะไม่มีการเชื่อมต่อกับ WiFi, Bluetooth, NFC หรือ 4G/5G เลย นอกจากนี้ NGRAVE ยังมีกระบวนการสร้าง Private Key แบบเฉพาะตัว รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลหลากหลาย รวมถึงโทเค็น ERC20 และ NFT ตัวกระเป๋าใช้ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นเอง พร้อมฟีเจอร์ไบโอเมตริกซ์
แม้ว่า NGRAVE จะได้รับการยกย่องว่าเป็นกระเป๋าเงินคริปโตที่มีคะแนนสูงสุดในด้านความปลอดภัย แต่ราคาที่ค่อนข้างสูงและการรองรับสินทรัพย์ที่ยังไม่ครอบคลุมมากพอ ทำให้ไม่ได้ติดอันดับบนสุดในลิสต์ของเรา
-
Bitfi
กระเป๋าเงิน Bitfi เคยเป็นที่รู้จักในฐานะผลิตภัณฑ์ของ John McAfee ผู้เป็นบุคคลที่มีความขัดแย้งในวงการคริปโต โดยในอดีต Bitfi เคยอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตน “ไม่สามารถถูกแฮ็กได้” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีนักวิจัยด้านความปลอดภัยตรวจพบช่องโหว่ในระบบ คำกล่าวอ้างดังกล่าวก็ถูกลบออกไป ทั้งนี้กระเป๋า Bitfi รุ่นใหม่ได้ทำการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยเหล่านั้นแล้ว
-
CoolWallet
CoolWallet เป็น Hardware Wallet ที่มีลักษณะคล้ายบัตรเครดิตซึ่งสามารถพกพาได้อย่างสะดวก รีวิวของ CoolWallet ค่อนข้างเป็นไปในเชิงบวก แต่ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่ได้รับความนิยมมากพอที่จะถือว่าเป็นตัวเลือกที่มั่นคงในตลาด
-
BitLox
BitLox เป็นอีกหนึ่ง Hardware Wallet ที่เราเคยทดสอบเมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งขณะที่ทดสอบนั้นผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีข้อติหลายข้อ อาจเป็นไปได้ว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการพัฒนาให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น
-
BitBox02
BitBox02 เป็นผลิตภัณฑ์จาก Shift Crypto บริษัทสัญชาติสวิส จุดเด่นของกระเป๋าเงินรุ่นนี้คือกระบวนการสำรองข้อมูลที่รวดเร็ว โดยใช้ MicroSD card แทนการจด Seed Phrase แบบดั้งเดิม BitBox02 มีดีไซน์แบบชิ้นเดียวพร้อมช่องเชื่อมต่อ USBC และมาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม BitBox ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกลุ่มคริปโตอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี Hardware Wallet อื่นๆ ที่เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้เชี่ยวชาญ เช่น Cypherock X1, BC Vault และ GridPlux Lattice1 ซึ่งคุณสามารถเลือกศึกษาและใช้ตามความต้องการได้เลย
ความเสี่ยงที่ต้องระวังในการใช้ Hardware Wallet
-
การถูกดัดแปลงอุปกรณ์ (Tampering)
ในบางกรณี อุปกรณ์ Hardware Wallet อาจถูกดัดแปลงได้ หากต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ โปรดสังเกตว่าผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ควรจะใช้สติกเกอร์โฮโลแกรมพิเศษ เพื่อยืนยันว่าอุปกรณ์นั้นไม่เคยถูกเปิดใช้งานมาก่อน ดังนั้นหมั่นตรวจสอบสภาพซีลความปลอดภัยก่อนใช้งานครั้งแรกเสมอ
หากคุณได้รับสินค้าและพบว่าสติกเกอร์ดังกล่าวถูกแกะหรือไม่สมบูรณ์ อย่าใช้อุปกรณ์นั้นเด็ดขาด
เพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณควรสั่งซื้ออุปกรณ์โดยตรงจากเว็บไซต์ของผู้ผลิต หากต้องการซื้อผ่านตัวแทนจำหน่าย ให้ตรวจสอบกับผู้ผลิตก่อนว่าตัวแทนนั้นได้รับการรับรองและมีความน่าเชื่อถือจริง
-
Seed Phrase ที่ถูกตั้งค่าล่วงหน้า (Preconfigured Seed Phrase)
Seed Phrase ควรถูกสร้างขึ้นแบบสุ่มผ่านอุปกรณ์ Hardware Wallet ของคุณเองในระหว่างการตั้งค่าเริ่มต้น และไม่ควรถูกส่งมาพร้อมกับอุปกรณ์
มีกรณีตัวอย่างจากผู้ใช้งานรายหนึ่งที่สั่งซื้อ Hardware Wallet จากผู้ขายที่ไม่น่าเชื่อถือใน Amazon และได้รับอุปกรณ์ที่มาพร้อมการ์ดที่มี Seed Phrase ถูกตั้งค่าล่วงหน้าไว้แล้ว และผู้ขายแนะนำให้ผู้ใช้ตั้งค่าอุปกรณ์โดยใช้ Seed Phrase นั้น
เนื่องจากผู้ใช้รายนี้ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี จึงทำตามคำแนะนำดังกล่าว แต่หลังจากที่เขาโอนเงินดิจิทัลเข้าสู่อุปกรณ์เหล่านั้นได้ไม่นาน เหรียญทั้งหมดก็ถูกถ่ายโอนไปยังบัญชีของแฮกเกอร์ที่รู้ข้อมูลของ Seed Phrase ล่วงหน้า
ตัวอย่างนี้แสดงถึงความเสี่ยงจากการซื้ออุปกรณ์ที่ถูกดัดแปลง ซึ่งมาพร้อม Seed Phrase และ PIN Code ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า
วิธีเก็บรักษา Seed Phrase อย่างปลอดภัย
Seed Phrase เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเหรียญดิจิทัลทั้งหมดในกระเป๋าเงินของคุณได้ ดังนั้น การเก็บรักษา Seed Phrase ให้ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามบันทึก Seed Phrase ไว้ในระบบออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์หรือคลาวด์ เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือถูกมัลแวร์แพร่กระจาย
แม้แต่ Hardware Wallet ที่ดีที่สุดก็ยังต้องพึ่งการจัดเก็บ Seed Phrase อย่างปลอดภัย ผู้ใช้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์จัดเก็บ Seed Phrase ที่มีคุณภาพสูง เช่น Cryptotag ซึ่งใช้วัสดุไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน Cryptotag สามารถเก็บ Seed Phrase ได้ถึง 42 ชุด และมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนและน้ำ โดยอุปกรณ์รุ่นเริ่มต้นมีราคาอยู่ที่ €129
-
Evil Maid Attack
Hardware Wallet อาจถูกขโมยหรือถูกเข้าถึงโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรียกว่า Evil Maid Attack
โชคดีที่ Hardware Wallet ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมาพร้อมระบบป้องกันด้วย PIN Code แม้ว่าจะมีใครขโมยอุปกรณ์ของคุณไป ผู้ขโมยจะต้องใช้เวลาในการพยายามถอดรหัส PIN Code ก่อนจะเข้าถึงเหรียญในกระเป๋าเงิน
หากคุณพบว่าอุปกรณ์ของคุณถูกขโมย ควรใช้ Seed Phrase เพื่อกู้คืนกระเป๋าเงินของคุณทันที และโอนเหรียญทั้งหมดไปยังกระเป๋าเงินใหม่ที่มี Seed Phrase ชุดใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้คุณรักษาความปลอดภัยของเหรียญดิจิทัลทั้งหมดและป้องกันผู้โจมตีจากการเข้าถึงทรัพย์สินของคุณ
-
$5 Wrench Attack
รูปแบบการโจมตีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีคนใช้ความรุนแรงทางกายภาพเพื่อบังคับให้คุณมอบ Hardware Wallet และ PIN Code ให้กับพวกเขา
ในการป้องกันการโจมตีประเภทนี้ Wallet รุ่นพิเศษ เช่น Cypherock X1 มาพร้อมฟีเจอร์ป้องกันเพิ่มเติมที่เรียกว่า Passphrase โดยผู้ใช้จะต้องกรอก Passphrase เพิ่มเติมหลังจากใช้ PIN Code
นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่า Passphrase ให้แสดงบัญชีต่างๆ ในกระเป๋าเงินได้ตามที่คุณกำหนด เช่น สร้างบัญชีหลอกที่มีเหรียญจำนวนเล็กน้อย และบัญชีจริงที่เก็บเหรียญส่วนใหญ่ไว้
หากคุณถูกบังคับให้ปลดล็อกกระเป๋าเงิน คุณสามารถใช้ Passphrase ของบัญชีหลอกเพื่อแสดงยอดเงินเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้โจมตีไม่สามารถเข้าถึงทรัพย์สินทั้งหมดของคุณได้
การรู้เท่าทันความเสี่ยงและการใช้ฟีเจอร์ความปลอดภัยต่างๆ ที่ Hardware Wallet มอบให้ จะช่วยให้คุณปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของคุณได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
กระเป๋าเงินคริปโตฟรี มีจริงหรือไม่
แม้ว่าการลงทุนใน Hardware Wallet จะถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับคริปโตของคุณ แต่ผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยยังคงชอบใช้กระเป๋าเงินแบบ software wallet (hot wallet) ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าคุณมีงบจำกัดและเทรดบ่อย กระเป๋าแบบร้อนก็อาจจะเหมาะกว่า
ถ้าต้องเลือกมาตัวหนึ่ง เราขอยกให้ Best Wallet
Best Wallet หนึ่งในกระเป๋าเงินที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาด มาพร้อมกับการออกแบบที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวในการเก็บรักษาคริปโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน Best Wallet รองรับบล็อกเชนมากกว่า 60 เครือข่าย และถือว่าเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินที่มีการรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่หลากหลายที่สุดในอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ จุดเด่นที่น่าสนใจของ Best Wallet คือการให้ผู้ใช้งานสามารถ swap, buy และ sell คริปโตได้โดยตรงภายในกระเป๋าเงินเดียว รวมถึงยังมีฟีเจอร์ launchpad สำหรับโปรเจกต์ใหม่ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนคริปโตในช่วง presale อีกด้วย
บทสรุป – Hardware Wallet จําเป็นไหม
หากคุณต้องการเก็บคริปโตอย่างปลอดภัย การเลือกใช้ cold storage wallet คือสิ่งที่ดีที่สุด
แม้ Hardware Wallet จะมีค่าใช้จ่าย แต่ความปลอดภัยที่คุณจะได้รับจากการใช้ Hardware Wallet นั้น คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแน่นอน
ในมุมมองของเรา wallet จาก TREZOR และ Ledger ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าถามถึงความชอบส่วนตัว Cypherock X1 และ ELLIPAL คือสองรุ่นที่โดดเด่นมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกซื้อรุ่นใดก็ตาม ขอแนะนำให้ซื้อโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น