
กองทุน ETF ประเภท Spot Bitcoin ที่อยู่ในสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของปริมาณการซื้อขายในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างจริงจังในโลกคริปโต
Julio Moreno หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนชื่อดัง CryptoQuant เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “การซื้อขาย Bitcoin Spot ผ่าน ETF ที่อิงกับตลาดสหรัฐฯ ได้กลายเป็นช่องทางหลักในการเปิดรับการลงทุนใน Bitcoin สำหรับนักลงทุน”
ในวันซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหวสูง กองทุน ETF Spot Bitcoin เหล่านี้สร้างปริมาณการซื้อขายต่อวันมากถึง 5–10 พันล้านดอลลาร์ บางครั้งมากกว่าการซื้อขายในหลายกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตชั้นนำ สะท้อนถึงความต้องการจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Binance ยังคงครองแชมป์ด้านปริมาณการซื้อขาย Spot
อย่างไรก็ตาม Binance ซึ่งเป็นกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังคงนำโด่งด้านปริมาณการซื้อขาย Spot ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin สูงสุดแตะ 18 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Ether (ETH) สูงถึง 11 พันล้านดอลลาร์ในวันพีค
ตามข้อมูลจาก CoinGlass ปริมาณซื้อขายรวมของ 11 กองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.77 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 67% ของปริมาณ Spot Bitcoin ที่เกิดขึ้นบน Binance (ราว 4.1 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน อ้างอิงจาก CoinGecko) โดยรวมแล้ว Binance มีปริมาณการซื้อขายต่อวันจากทุกคู่เหรียญกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์

Nick Ruck ผู้อำนวยการจาก LVRG Research ให้ความเห็นว่า “กองทุน Spot Bitcoin ETF ของสหรัฐฯ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดคริปโต และมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการค้นหาราคาที่แท้จริงและการยอมรับในระดับสถาบัน”
Moreno ยังกล่าวเสริมว่า ปริมาณการซื้อขาย ETH Spot ส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ Binance ตามมาด้วย Crypto.com ขณะที่ ETF อยู่ในอันดับที่หกด้วยสัดส่วนเพียง 4% ซึ่งตอกย้ำถึง “การมีส่วนร่วมที่ยังจำกัดของ ETF ในตลาด ETH Spot” และแสดงให้เห็นถึงการยอมรับที่ช้ากว่า Bitcoin
การไหลเข้าของ Bitcoin ETF ชะลอ แต่ Ether แซงขึ้นมาแทน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การไหลเข้าของกองทุน Spot Bitcoin ETF ทั้ง 11 กองทุนชะลอตัว โดยรวมอยู่ที่ 571.6 ล้านดอลลาร์ในช่วงสี่วันซื้อขายล่าสุด ข้อมูลจาก CoinGlass ชี้ว่า BlackRock iShares Bitcoin Trust (IBIT) เป็นผู้นำที่ครองสัดส่วนเกือบ 40% ของเม็ดเงินดังกล่าว หรือประมาณ 223.3 ล้านดอลลาร์
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ราคาของ Bitcoin ปรับตัวลงราว 2.5% นับจากต้นสัปดาห์ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ราว 111,600 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงบรรยากาศตลาดที่เริ่มเย็นลง
เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุน Ether ETF ผลงานกลับโดดเด่นกว่าอย่างมาก โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 1.24 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสี่วัน นับเป็นมากกว่าสองเท่าของกองทุน BTC ในช่วงเวลาเดียวกัน
ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมเป็นต้นมา กองทุน Ether ETF ไม่เคยมีวันใดที่เกิดเงินไหลออกสุทธิ และภายในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว มีเงินไหลเข้ารวมกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 30% ของเงินลงทุนรวมทั้งหมดนับตั้งแต่กองทุนเหล่านี้เปิดตัวเมื่อ 13 เดือนก่อน
Ruck สรุปว่า “กองทุน ETF ไม่ได้เพียงแค่เสริมสภาพคล่องของตลาด แต่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการซื้อขาย Spot โดยตรง กิจกรรมของพวกเขามีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคา BTC มากขึ้นเรื่อยๆ”
“ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับเงินทุนแบบดั้งเดิม และถือครองสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของอุปทาน Bitcoin ทั้งหมด ทำให้ ETF กลายเป็นประตูหลักสำหรับการเข้าสู่ตลาดคริปโตของสถาบัน”
สรุปก็คือ ความนิยมของ ETF Spot Bitcoin และ Ether กำลังสะท้อนภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโต ที่ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยนักลงทุนรายย่อยเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ถูกเติมเต็มด้วยแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบัน การเติบโตเช่นนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ที่โปร่งใสและมีโครงสร้างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนที่กำลังมองหา “เหรียญคริปโตที่น่าลงทุน” ในระยะยาว ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ยังคงเป็นแกนหลักของตลาดที่กำลังถูกยกระดับสู่การยอมรับในวงกว้าง
Bitcoin Hyper: Layer 2 ที่กำลังเขย่าตลาดคริปโต
Bitcoin Hyper (HYPER) ถูกยกให้เป็นโปรเจกต์ที่น่าจับตา เพราะใช้เทคโนโลยี Solana Virtual Machine (SVM) และ Zero-Knowledge Rollups มาช่วยแก้จุดอ่อนของ Bitcoin ทั้งเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียม พร้อมเปิดประตูสู่โลก DeFi, NFT และ dApp ทำให้ขึ้นแท่น เหรียญ Altcoin มาแรง ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง
พรีเซลของ Bitcoin Hyper ระดมทุนได้แล้วกว่า 12 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม 2025 โดยราคาโทเค็นยังอยู่ในจุดเริ่มต้นเพียง 0.012795 ดอลลาร์ นักลงทุนยังสามารถสเตกเพื่อรับผลตอบแทนสูงถึง 119% APY ถือเป็นโอกาสสร้างรายได้แบบ Passive Income ที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่
ด้วยการเป็น Layer 2 แรกของ Bitcoin ที่ใช้ SVM ทำให้ Bitcoin Hyper รองรับธุรกรรมได้ระดับพัน TPS โดยยังคงความปลอดภัยบนเชนหลัก ส่งผลให้หลายฝ่ายมองว่า HYPER มีศักยภาพก้าวขึ้นเป็น เหรียญ Presale ดาวรุ่ง ที่พร้อมปูทางให้ Bitcoin เข้าสู่ยุคใหม่ของการใช้งานจริง
