
กระแสการลงทุนใน Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อบรรดามูลนิธิและกองทุนมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศนโยบายผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้าน Bitcoin ของโลก ส่งผลให้สถาบันการศึกษาและมูลนิธิขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มพิจารณาเพื่อทำการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้
มูลนิธิและกองทุนสหรัฐฯ เริ่มลงทุนใน Bitcoin
University of Austin เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เริ่มต้นบุกเบิกการลงทุนในคริปโตด้วยการประกาศระดมทุน Bitcoin มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อรวมเข้ากับกองทุนหลักที่มีมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Emory University ก็ได้เปิดเผยการถือครองกองทุน ETF Bitcoin เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก นอกจากนี้ Rockefeller Foundation ที่มีเงินทุนกว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์ก็กำลังพิจารณาเพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสกุลเงินคริปโตเช่นกัน
นอกจากนี้ จากผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามามากขึ้น ดัชนีคริปโตชั้นนำของ Bitwise Asset Management สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 64% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 14.5% อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Eswar Prasad จาก Cornell University แสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่สถาบันเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและอาจจะไม่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้มากนักเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ
Michael Saylor โพสต์เป็นนัยว่าอาจจะซื้อ BTC เพิ่มอีกครั้ง
Michael Saylor สร้างความสนใจอีกครั้งหลังกลับมาโพสต์กราฟ Bitcoin ประจำสัปดาห์พร้อมข้อความ “Death to the blue lines. Long live the green dots” หลังจากหายหน้าไปหนึ่งสัปดาห์ การกลับมาครั้งนี้จุดประกายความคาดหวังว่า Strategy อาจจะมีแผนเข้าซื้อ Bitcoin เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติการลงทุนล่าสุดที่บริษัทได้เพิ่ม Bitcoin จำนวน 10,107 BTC เมื่อปลายเดือนมกราคม
ในฐานะผู้สนับสนุน Bitcoin ตัวยงและผู้บริหารบริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การเคลื่อนไหวของ Saylor มักส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายอื่น แม้ Strategy จะรายงานผลขาดทุน 640 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด แต่บริษัทยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวใน Bitcoin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงินเฟียต ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าของสหรัฐฯ อาจผลักให้ราคา Bitcoin ร่วง
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเผชิญความผันผวนครั้งใหม่หลังประธานาธิบดี Trump ประกาศมาตรการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ซึ่งเป็นสัญญาณการขยายตัวของสงครามการค้า ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดคริปโตที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักลงทุนหลายรายเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งถือเป็นประเทศมหาอำนาจ การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของทั้ง 2 ประเทศนี้ส่งผลให้ราคาร่วงต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์

Ryan Lee หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Bitget Research เตือนว่าหาก Bitcoin ไม่สามารถรักษาระดับเหนือ 93,000 ดอลลาร์ได้ อาจนำไปสู่การปรับฐานลงต่ำกว่า 90,500 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Coinglass ยังชี้ให้เห็นว่าการทะลุแนวรับดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดการชำระบัญชีครั้งใหญ่มูลค่าถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ในตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต โดยเฉพาะเทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจอาจจะถูกบังคับให้ขาย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคาและความผันผวนในตลาด นำไปสู่การปรับฐานอย่างรวดเร็ว
ความท้าทายและอนาคตของการลงทุนในคริปโต
แม้จะมีความท้าทายทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้งานที่ยังจำกัดและนโยบายกำกับดูแลที่ยังไม่ชัดเจน แต่หลายๆ สถาบันยังคงมองเห็นศักยภาพของ Bitcoin ในระยะยาว การเติบโตของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจากมูลนิธิและมหาวิทยาลัยชั้นนำสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในวงกว้าง แม้จะยังมีความกังวลเรื่องความผันผวนและกฎระเบียบ แต่แนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัล
