
Jamie Coutts นักวิเคราะห์จาก Real Vision มองว่ารอบวัฏจักรของ Bitcoin ครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเพียง “รอบ 4 ปี” ของการลดการผลิตบล็อก (Halving) เท่านั้น แต่ปัจจัยหลักจริงๆ กลับมาจากสภาพคล่องทั่วโลกที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมด
เขาอธิบายในบทสัมภาษณ์กับรายการ “Crypto Kid” ว่ากรอบการวิเคราะห์รอบนี้ผูกโยงกับนโยบายการเงิน การปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และพลวัตของงบดุล พร้อมเตือนว่าการชะลอการเข้าซื้อของบริษัทมหาชนและสัญญาณการสูญเสียโมเมนตัมในกราฟราคาคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
Why This Bitcoin Cycle is DIFFERENT! (Explained by @Jamie1Coutts)
Timestamps:
00:00 Intro
01:05 Global Liquidity and M2 Money Supply
07:19 Fed’s Balance Sheet
14:45 Liquidity Cycles or Halving Cycles
19:04 Chinese Equities and Bitcoin
23:25 The Bearish Divergences
35:08… pic.twitter.com/VIuA5BFTyu— Crypto Kid (@CryptoKidcom) September 6, 2025
ทำไมรอบนี้ถึงไม่เหมือนเดิม
Coutts อธิบายว่า “สภาพคล่องทั่วโลกคือตัวขับเคลื่อนหลักของสินทรัพย์เสี่ยง” โดยเขาใช้ตัวชี้วัดที่ผสมผสานข้อมูลจากงบดุลของธนาคารกลาง ปริมาณเงินทั่วโลก เงินสำรองต่างประเทศ รวมถึงระบบการปล่อยกู้ทั้งในและนอกระบบธนาคาร ผลลัพธ์คือความสัมพันธ์ที่สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของ Bitcoin ได้อย่างชัดเจน
แม้เขาจะเตือนว่า ความสัมพันธ์นี้ไม่คงที่ตลอดเวลา ตลาดมีความเปลี่ยนแปลงสูง และการพยายาม “จับจังหวะดีเลย์” ของกราฟอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่โดยภาพรวมแล้ว เขามองว่าสภาพคล่องยังคงเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุด
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าตัวชี้วัดสภาพคล่องกับราคาของ Bitcoin เริ่มแยกทางกันนับตั้งแต่ ETF Spot ในสหรัฐเปิดตัว แต่ Coutts เห็นว่าเป็นเพียงความเบี่ยงเบนระยะสั้นเท่านั้น เพราะถ้าวัดเทียบกับความผันผวนของ Bitcoin แล้ว ถือว่าไม่ผิดปกติแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือการมองไปในมุมมองหลายไตรมาสว่าปริมาณสภาพคล่องโลกกำลังขยายขึ้นหรือไม่ และอะไรเป็นสาเหตุของมัน
เขายังเชื่อว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในเดือนกันยายนมีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ย และอาจมีการประกาศชะลอหรือยุติการทำ QT (Quantitative Tightening) ด้วย โดยสาเหตุหลักมาจาก “Fiscal Dominance” หรือความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐในการบริหารหนี้และขาดดุล ทำให้ธนาคารกลางต้องปรับท่าทีเพื่อรองรับตลาดพันธบัตร
วงจรธุรกิจและผลกระทบต่อ Bitcoin
นอกเหนือจากนโยบายการเงิน Coutts ยังหยิบยก “วงจรธุรกิจ” ของสหรัฐมาอธิบาย เขามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวเข้าสู่ระยะขยายตัว โดยมีข้อมูล ISM ที่กลับมายืนเหนือระดับ 50 เป็นหลักฐาน หากการเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าควบคู่ไปกับสภาพคล่องที่สูงขึ้น จะเกิดภาวะ “Goldilocks” ที่ส่งผลเชิงบวกอย่างยิ่งต่อ Bitcoin และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
เขาตั้งคำถามว่าที่จริงแล้ว วัฏจักร 4 ปีของ Bitcoin อาจไม่ใช่เพราะ Halving โดยตรง แต่อาจเป็นเพราะมันสอดคล้องกับวงจรสภาพคล่องโลกต่างหาก ยิ่งเมื่อการลด Supply ของ Bitcoin ทุกครั้งมีผลกระทบต่อราคาในสัดส่วนที่เล็กลงเรื่อยๆ ปัจจัยด้านสภาพคล่องและการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็นตัวแปรหลักในการผลักดันราคา ในมุมนี้ Bitcoin ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ป้องกันการด้อยค่าของเงิน” ที่ชัดเจนที่สุดในยุคปัจจุบัน ขณะที่ Ethereum ก็ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแรงในระยะยาว
จีนก็ถูกยกเป็นกรณีศึกษา Coutts ระบุว่าธนาคารกลางจีนเพิ่มงบดุลต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้สภาพคล่องหนุนตลาดหุ้นและราคาทองคำในรูปหยวนให้ปรับตัวขึ้น เขามองว่าในหลายรอบที่ผ่านมา ความร้อนแรงของ Bitcoin มักเกิดขึ้นพร้อมกับการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นจีน
สัญญาณเตือนที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
แม้ภาพรวมดูสดใส แต่ Coutts เตือนว่ายังมีความเสี่ยงชัดเจน เช่น สัญญาณ Divergence แบบขาลงในกราฟรายสัปดาห์ของ Bitcoin ซึ่งบ่งบอกว่าโมเมนตัมเริ่มอ่อนแรง เขาเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตปี 2008 และก่อนการแพร่ระบาดของโควิดในปี 2020 ที่มีสัญญาณลักษณะใกล้เคียงกัน
อีกหนึ่งปัจจัยคือการชะลอการเข้าซื้อของบริษัทมหาชนที่เคยเป็นแรงขับหลักตลอดปี 2024 โดยเฉพาะ MicroStrategy ที่ทำให้เกิดกระแสการถือครองตามมาเป็นวงกว้าง แต่เมื่อมูลค่าหุ้นและพรีเมียมลดลง บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถซื้อเพิ่มได้ในความเข้มข้นแบบเดิม นี่จึงเป็นแรงกดดันต่อราคาในเชิงโครงสร้าง ถึงแม้จะยังมีการซื้อจาก ETF อยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนเท่ากับบริษัทเอกชน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทมหาชนทั่วโลกถือครองรวมกว่า 1 ล้าน BTC ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้
อนาคตของ Altcoin และการลงทุน
สำหรับคำถามเรื่อง “Altseason” Coutts มองว่าไม่ควรใช้คำนี้อีกต่อไป เพราะบรรยากาศเก็งกำไรแบบปี 2021 ที่เต็มไปด้วยสภาพคล่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ไม่ได้หวนกลับมาอีกแล้ว นักลงทุนยุคใหม่เริ่มเลือกลงทุนในโปรเจกต์ที่มีผู้ใช้งานจริง โมเดลรายได้ชัดเจน และมีระบบเผาโทเค็นที่สร้างความยั่งยืน มากกว่าจะทุ่มเงินใส่โครงการที่ไร้คุณค่า
เขาคาดว่าตลาดจะมุ่งไปสู่การกระจายตัวเข้าหาเครือข่ายคุณภาพไม่กี่ราย และนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรพิจารณา “เหรียญคริปโตที่น่าลงทุน 2025” อย่างรอบคอบ เพราะตลาดกำลังเข้าสู่เฟสใหม่ที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงพร้อมกัน
ท้ายที่สุด Coutts ย้ำว่าถึงแม้ Fair Value Gap อาจพาราคา Bitcoin ทะยาน แต่แรงขายยังคงอยู่ นักลงทุนจึงควรวางแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ พร้อมยอมรับว่าตลาดไม่ได้เดินหน้าเป็นเส้นตรงเสมอไป
Bitcoin Hyper โอกาสใหม่ท่ามกลางรอบวัฏจักร Bitcoin ที่เปลี่ยนไป
นักวิเคราะห์ชี้ว่ารอบวัฏจักร Bitcoin ปัจจุบันไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย Halving เพียงอย่างเดียว แต่สภาพคล่องโลกและนโยบายการเงินมีบทบาทสำคัญ ปัจจัยนี้เอื้อให้โปรเจกต์ Bitcoin Hyper (HYPER) กลายเป็น เหรียญใหม่มาแรง ที่ดึงดูดความสนใจนักลงทุนทั่วโลก ด้วยการผสานความปลอดภัยของ Bitcoin เข้ากับความเร็วสูงจาก Solana Virtual Machine
เมื่อกระแสคาดการณ์ว่าตลาดคริปโตอาจได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยและการเปลี่ยนท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ การมาถึงของ Bitcoin Hyper ในฐานะ Layer-2 ของ Bitcoin ที่รองรับ DeFi, NFT และ Smart Contract จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์เต็มๆ จากสภาพคล่องที่กำลังเพิ่มขึ้น กลายเป็นโปรเจกต์ที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเป็น เหรียญ Presale ที่น่าจับตา ในช่วงตลาดกำลังปรับทิศ
ด้วยยอดพรีเซลกว่า 14.6 ล้านดอลลาร์ และโอกาสเติบโตในตลาดที่ประเมินว่ามี BTC มูลค่ากว่า 47 พันล้านดอลลาร์พร้อมไหลเข้าสู่ Layer-2 ภายในปี 2030 ทำให้ Bitcoin Hyper ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในระบบนิเวศของ Bitcoin สำหรับนักลงทุนที่มองหาอนาคตใหม่ของบล็อกเชน โปรเจกต์นี้อาจเป็นทางเลือกที่ไม่ควรพลาด
